ทริปครั้งนี้เรามุ่งหน้าไปยัง ภูสอยดาว อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินป่าที่ท้าทายและสวยงามอันดับต้นๆ ของเมืองไทย กับทีมเพื่อนๆ แก๊งค์ Lenso
วันแรก (27 ก.ย. 2567)
เดินทางกันยาวถึง 7 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ เวลา 7:30 น. มุ่งสู่ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ในคืนแรกเราพักค้างคืนที่นี่เพื่อเตรียมตัวสำหรับการขึ้นดอยในวันรุ่งขึ้น และไม่ลืมแวะชิมอาหารร้านดังที่ ร้านครัวสองพี่น้อง ปลาแม่น้ำ มะขามสูง จังหวัดพิษณุโลก (https://maps.app.goo.gl/LQn58sFMUJ1ZFiPp6) จัดเต็มเมนูปลาจากแม่น้ำมะขามสูง อร่อยทุกจาน แนะนำสุดๆ สำหรับคนชอบปลา!
จากนั้นแวะเดินเล่นที่น้ำตกชาติตระการ น้ำเยอะ สวยงามจริงๆ
ตกดึกก็จัดปาร์ตี้กันเล็กๆ เรียกความเชื่อมั่นใจการเดินป่ารุ่งเช้า
วันที่ 2: เริ่มต้นภารกิจพิชิตภูสอยดาว
เช้าวันที่ 2 ล้อหมุนจากโรงแรมในชาติตระการ มุ่งหน้าไปยัง อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เริ่มต้นด้วยการลงทะเบียน ฝากสัมภาระกับลูกหาบ ทริปนี้ได้ “คุณกบ” ที่ช่วยเหลือได้ดีมาก เดินทางมาอุทยานฯ ล่วงหน้า เพื่อจองคิวลูกหาบคิวแรกๆ ขนาดมาก่อนนะ คิวของเรายัง #71 เลย แต่เลขสวยจริง
จากนั้นเดินทางต่อด้วยรถกระบะไปยัง น้ำตกภูสอยดาว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินป่าขึ้นเขาจริงๆ
การเดินทางเริ่มต้นจากน้ำตกภูสอยดาว กับระยะทางทั้งหมด 6.5 กม. และความสูงถึง 2,100 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นเส้นทางเดินป่าอันดับ 3 ที่สูงที่สุดในไทย
เริ่มจากการเดินผ่านเนินแรก เนินส่งญาติ ที่สมัยก่อนสงครามไทย-ลาว แล้วเป็นจุดรับศพทหาร ฟังแล้วสะหยองเลย เนินส่งญาติซึ่งแม้จะสั้นแต่ชันมาก ได้ยินเสียงน้ำตกไหลเพลินๆ ตลอดทาง
ต่อด้วย เนินปราบเซียน ที่ยาวและเหนื่อยหน่อย แต่ทางก็ร่มรื่นดี
จากนั้นเข้าสู่ เนินป่าก่อ ที่เต็มไปด้วยต้นก่อ (ต้นโอ๊ค) ต้นไม้สูงใหญ่ให้ความรู้สึกสดชื่นตลอดทาง
มาถึงจุดที่น่าสนใจอีกจุดคือ เนินเสือโคร่ง แต่ถึงแม้ชื่อจะน่ากลัว เราก็ไม่เจอเสือ 555 แค่เดินถ่ายรูปดอกไม้สวยๆ ไปตลอดเส้นทาง
คุณกบ ไกด์นำทางยังเตรียมขนมปัง Pitta จากร้าน Farm De Mom (FB: Farm De Mom) จากเชียงใหม่มาให้กับทุกคนทางระหว่างเดินป่าด้วย น่ารักที่สุดครับ อร่อยจนต้องชมกันเป็นพิเศษ!
แต่เส้นทางก็ยังไม่จบเพราะต้องผ่าน เนินมรณะ ที่ถือเป็นจุดชันที่สุดในการเดินทางครั้งนี้ และแทบจะเป็นทางเงียบที่เราเกือบหลง
แต่ในที่สุดก็ถึง ลานสนภูสอยดาว ท้ายที่สุดเราได้ถ่ายรูปกับป้าย “ผู้พิชิต” พร้อมกับทุ่งดอกหงอนนาค ที่สวยงามมากๆ ทำให้หายเหนื่อยทันที
ใช้เวลาทั้งหมด 3 ชั่วโมง 28 นาทีในการเดินขึ้นมา แต่เชื่อว่าถ้าไม่ถ่ายรูปเยอะน่าจะทำได้เร็วกว่านี้!
สิ่งที่แรกที่ทำก็คือกินข้าวไข่เจียวนะ แต่เสียดายไข่บางมาก 555 สู้ไข่เจียวในตำนานที่เขาเขียว เขาใหญ่ไม่ได้เลย
ช่วงบ่ายแก่ๆ เราเดินชม ลานสน และทุ่งดอกหงอนนาค ชมวิวชายแดนไทย-ลาวอย่างเพลิดเพลิน
เดินจากถึงเวลาพระอาทิตย์ตก บรรยากาศสวยงามมากจนหยุดหายใจ
ตอนกลางคืนก็ยิ่งตื่นเต้นไปอีก เพราะเราโชคดีได้เห็น ทางช้างเผือก ฟ้าเปิด ไม่ฝนตก เรียกได้ว่าเป็นโชคดีที่แท้จริง! มาทริปนี้คุ้มจริงๆ
วันที่ 3: เส้นทางเนิน Unseen และเดินทางกลับ
เช้าวันที่ 3 เราตื่นเช้าเพื่อจิบกาแฟและเดินสำรวจแนวทุ่งสน ชายแดนไทย-ลาว และเดินไปยังจุดชมวิว Unseen ที่สูงสุดและสวยงามจริงๆ วิวนี้คุ้มค่ามากสำหรับการเดินทางขึ้นมา ถ่ายรูปกันเป็นร้อยช็อตเลย
จากนั้นเรากลับมากินมื้อเช้าฝีมือคุณแมว อร่อยเต็มที่ก่อนที่จะเก็บเต็นท์และสัมภาระ เพื่อเตรียมตัวเดินลงเขา
สายๆ เดินทางลงตามเส้นทางเดิม คราวนี้ไม่เดินป่าแล้ว มาวิ่งเทรลแทน เสียดายติดฝูงชนที่เดินลงในช่วงแรกๆ และติดอีกทีกับคนที่เดินขึ้นในช่วงปลาย แต่ก็ทำเวลาได้ดีตามใจหวัง ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 52 นาทีในการลงเขา Sub 2 ก็ชื่นใจแล้ว เหนื่อยมากเหมือนกัน
หลังจากนั้นเรารอทานมื้อเที่ยงและรอลูกหาบที่มาช้ามากๆ เกือบ 2 ชั่วโมงได้นะ ระหว่างที่รอก็ไปหาเครื่องดื่มและอาหารทานเล่นใกล้ๆ เค้าเรียกว่า หมู่บ้านรักไทย พิษณุโลก
ก่อนที่จะตีรถตู้กลับกรุงเทพฯ มื้อเย็นแวะร้านข้าวต้มก่อนกลับด้วย
ทริปนี้อาจเหนื่อยแต่ก็เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ประทับใจมากมาย ทั้งบรรยากาศ ความสวยงามของธรรมชาติ และความท้าทายของเส้นทาง ใครที่ชอบการเดินป่าและอยากสัมผัสธรรมชาติที่แท้จริง ต้องลองมาพิชิต ภูสอยดาว สักครั้งในชีวิต!
ภูสอยดาว ไม่เพียงสอนให้เราทำลายขีดจำกัดของตัวเอง
แต่ยังมอบความทรงจำที่ล้ำค่าไปตลอดการเดินทางนี้