อนาคตของการจัดการงานบริการ (Service Management): แนวโน้มที่กำลังกำหนดทิศทางธุรกิจของคุณ

Service Management แนวโน้มที่กำลังกำหนดทิศทางธุรกิจของคุณ

การจัดการงานบริการ (Service Management) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ลูกค้าในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการต้นทุน การวางแผนทรัพยากร และการบำรุงรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจและต่อเนื่องสำหรับลูกค้าทั้งในด้านการบริการภายในและการให้บริการลูกค้าภายนอก ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

องค์ประกอบหลักของการจัดการงานบริการ

การจัดการงานบริการไม่ได้หมายถึงเพียงการส่งมอบบริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการในการควบคุม วางแผน และดำเนินงานเพื่อให้แน่ใจว่าการบริการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจ มาดูที่องค์ประกอบสำคัญของการจัดการงานบริการ:

  1.   การวางแผนต้นทุนงานและทรัพยากร (Job Costing & Resource Planning)

การจัดการต้นทุนงานและการวางแผนทรัพยากรเป็นหัวใจหลักของการบริการที่มีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์และติดตามต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ละงาน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนของแรงงาน วัสดุ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จะช่วยให้ธุรกิจสามารถคำนวณผลกำไรและขาดทุนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ การวางแผนทรัพยากรยังช่วยให้ธุรกิจใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา

  2.   การบำรุงรักษาและบริการภาคสนาม (Field Service & Maintenance)

การให้บริการภาคสนามเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากทีมช่างและเจ้าหน้าที่จะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลการบริการได้จากทุกที่ ในยุคดิจิทัลนี้ การใช้อุปกรณ์มือถือและการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ทำให้ช่างสามารถอัปเดตสถานะของงานบริการได้แบบเรียลไทม์ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันและพยากรณ์ยังช่วยให้ธุรกิจลดการหยุดชะงักของอุปกรณ์และลดต้นทุนการบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

  3.   การผสานการบริการลูกค้า (Customer Service Integration)

ในปัจจุบัน ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้นว่าธุรกิจจะสามารถให้บริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามความต้องการส่วนบุคคล การใช้เครื่องมือที่สามารถเชื่อมต่อช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เช่น อีเมล โทรศัพท์ แชท และโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้บริการเชิงรุก โดยการพยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าและเสนอแนวทางแก้ไขก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาจริง จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว

  4.   การติดตามกิจกรรมแบบเรียลไทม์ (Real-Time Activity Tracking)

การติดตามสถานะของงานบริการและตำแหน่งของช่างภาคสนามในแบบเรียลไทม์ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมของการดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน เช่น การจัดส่งช่างผิดพลาดหรือการลืมงานที่ต้องทำ การปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร

แนวโน้มสำคัญในอนาคตของการจัดการงานบริการ

ในปัจจุบัน การจัดการงานบริการได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มาดูกันว่าแนวโน้มสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้มีอะไรบ้าง:

1. การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)

การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์เป็นหนึ่งในแนวโน้มที่สำคัญที่สุดในด้านการจัดการงานบริการ ด้วยการใช้เซนเซอร์ IoT และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ธุรกิจสามารถตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์และเครื่องจักรในแบบเรียลไทม์ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถพยากรณ์การเสียหายของอุปกรณ์ได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำให้ธุรกิจสามารถกำหนดเวลาซ่อมบำรุงล่วงหน้าได้ตามความจำเป็น ซึ่งจะช่วยลดการหยุดทำงานที่ไม่ได้วางแผนไว้และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ตัวอย่างของการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์:

•   การใช้เซนเซอร์ในการวัดสภาพการทำงานของเครื่องจักร เช่น อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน หรือแรงดัน เพื่อพยากรณ์ว่าเมื่อใดที่เครื่องจักรจะเสียหาย

•   การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

•   การกำหนดเวลาซ่อมบำรุงล่วงหน้าเพื่อป้องกันการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิด

ผลที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษา แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. โมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric Service Models)

ในโลกที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลายเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้น การปรับแต่งประสบการณ์การบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และการตอบสนองต่อปัญหาอย่างรวดเร็ว สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างมาก โมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางนี้รวมถึงการให้บริการผ่านช่องทางหลายช่องทาง เช่น โทรศัพท์ อีเมล แชท และโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับบริษัทได้สะดวกที่สุด

ตัวอย่างของโมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง:

•   การให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล โดยการปรับแต่งการบริการตามประวัติการใช้งานของลูกค้า

•   การใช้ระบบการบริการเชิงรุกที่สามารถคาดการณ์ปัญหาของลูกค้าได้ล่วงหน้าและเสนอการแก้ไขก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ

•   การเชื่อมต่อการสื่อสารหลายช่องทางให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางที่พวกเขาต้องการ

3. การใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติ (Real-Time Data and Automation)

การใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการติดตามการดำเนินงานและการตัดสินใจเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดการงานบริการ ข้อมูลที่ได้รับการอัปเดตตลอดเวลาช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ถึงสถานะของงานบริการและอุปกรณ์ในทันที ทำให้สามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังช่วยลดการพึ่งพางานที่ต้องใช้มนุษย์ โดยสามารถทำงานซ้ำ ๆ เช่น การจัดส่งช่างหรือการจัดการใบสั่งซื้อได้โดยอัตโนมัติ

ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติ:

•   ลดความล่าช้าในการให้บริการเนื่องจากการประมวลผลข้อมูลและการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น

•   เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมนุษย์

•   ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็ว

4. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)

AI และ Machine Learning ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในโลกของการจัดการงานบริการ เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ปัญหาของอุปกรณ์ การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการให้บริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าโดยอัตโนมัติ AI สามารถช่วยธุรกิจลดเวลาในการตอบสนองต่อปัญหาและปรับปรุงประสบการณ์การบริการให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

การประยุกต์ใช้ AI และ Machine Learning ในการจัดการงานบริการ:

•   การใช้ AI ในการสร้างแชทบอทหรือผู้ช่วยอัจฉริยะ (Intelligent Assistant) เพื่อช่วยตอบคำถามและช่วยลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา

•   การใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานบริการเพื่อตรวจหาปัญหาและปรับปรุงกระบวนการทำงาน

•   การสร้างประสบการณ์การให้บริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าโดยอัตโนมัติ เช่น การเสนอคำแนะนำหรือผลิตภัณฑ์เสริมตามข้อมูลการใช้งานของลูกค้า

5. การเปลี่ยนแปลงการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร (Service as a Profit Center)

ในอดีต การบริการมักถูกมองว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายของธุรกิจ แต่ด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ การบริการสามารถเปลี่ยนไปเป็นแหล่งกำไรใหม่ของธุรกิจได้ ตัวอย่างเช่น การนำเสนอแพ็กเกจบริการเสริม การให้บริการซ่อมบำรุงหลังการขาย หรือการเปิดโมเดลการสมัครสมาชิกเพื่อลูกค้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มรายได้จากการบริการได้

กลยุทธ์การสร้างรายได้จากการบริการ:

  • การนำเสนอโมเดลการสมัครสมาชิก (Subscription Model) ที่ให้บริการต่อเนื่อง เช่น การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์หรือการต่ออายุสัญญาบริการ
  • การเพิ่มมูลค่าผ่านการขายบริการเสริม เช่น การอัปเกรดอุปกรณ์หรือการรับประกันเพิ่มเติม

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร (Service as a Profit Center):

•   การนำเสนอ แพ็กเกจบริการพิเศษ: เช่น การให้บริการบำรุงรักษาที่ครอบคลุมระยะยาวหรือการตรวจเช็คอุปกรณ์เพิ่มเติม ที่สามารถให้ลูกค้าเลือกซื้อเสริมจากบริการพื้นฐานได้

•   การให้บริการแบบต่อเนื่อง: ธุรกิจสามารถใช้โมเดลการสมัครสมาชิกที่ทำให้ลูกค้าจ่ายค่าบริการรายเดือนหรือรายปีเพื่อรับบริการซ่อมบำรุงและการดูแลระบบอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหยุดชะงักหรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน

•   การใช้ข้อมูลจากบริการเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ: ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากการให้บริการเพื่อระบุโอกาสในการขายสินค้าและบริการเสริมเพิ่มเติม เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้หรือการบริการอื่นที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริการกลายเป็นแหล่งกำไร แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และรักษาลูกค้าให้ยาวนานขึ้น

การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Transformation)

การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแนวโน้มการจัดการงานบริการในยุคปัจจุบัน การปรับใช้เทคโนโลยีเช่น IoT (Internet of Things), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ ระบบอัตโนมัติ ทำให้ธุรกิจสามารถขยายขีดความสามารถในการให้บริการได้อย่างก้าวกระโดด

1. IoT (Internet of Things) และการเชื่อมต่ออุปกรณ์

เทคโนโลยี IoT ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะของอุปกรณ์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สิ่งนี้ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการได้แบบต่อเนื่อง นอกจากนี้ IoT ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงการบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการใช้เซนเซอร์ตรวจวัดการสึกหรอและคาดการณ์การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์

ประโยชน์ของ IoT ในการจัดการงานบริการ:

•   การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์: ช่วยให้สามารถติดตามสถานะและสภาพการทำงานของอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา ทำให้สามารถรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

•   การเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์: ช่วยให้ช่างและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลและอัปเดตงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลหรือการรายงานสถานะของอุปกรณ์

•   การพยากรณ์และการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์: ข้อมูลที่รวบรวมจากเซนเซอร์สามารถใช้ในการพยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ช่วยให้สามารถจัดการงานบำรุงรักษาล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ

2. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูล

AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการ AI สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า การตรวจจับปัญหาของอุปกรณ์ หรือการแนะนำวิธีการแก้ปัญหาแบบอัตโนมัติ

การใช้ AI ในการจัดการงานบริการ:

•   การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้ผู้จัดการสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น การคาดการณ์ความต้องการบำรุงรักษา

•   การช่วยตอบคำถามลูกค้า: AI สามารถนำไปใช้ในแชทบอทหรือผู้ช่วยอัจฉริยะเพื่อช่วยตอบคำถามจากลูกค้าได้ทันที โดยไม่ต้องรอการตอบกลับจากทีมงานจริง

•   การปรับแต่งการให้บริการตามความต้องการ: AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและปรับการให้บริการให้ตรงกับความต้องการส่วนบุคคล ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

สรุป: การขับเคลื่อนการจัดการงานบริการสู่อนาคต

อนาคตของการจัดการงานบริการนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยแนวโน้มทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้า ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่องจะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยการนำเทคโนโลยีเช่น IoT, AI, และการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์มาใช้ในการพัฒนากระบวนการบริการของตน

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับลูกค้าและการมองการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ธุรกิจที่สามารถใช้แนวโน้มเหล่านี้อย่างเต็มที่จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างโอกาสในการทำกำไรใหม่ๆ ได้อย่างยั่งยืน

ในท้ายที่สุด การจัดการงานบริการจะไม่ใช่เพียงแค่การดูแลลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว ธุรกิจที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอนาคตของการจัดการงานบริการจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นาวิก นำเสียง

CEO – Sundae Solutions Co,, Ltd.

ปลดล็อกพลังของ ERP และ AI: การปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

ปลดล็อกพลังของ ERP และ AI- การปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

ในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและมีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน องค์กรต่างๆ มักจะมองหาวิธีที่จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและขับเคลื่อนการเติบโตอยู่ตลอดเวลา เทคโนโลยีอันทรงพลังสองเทคโนโลยีที่กลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ได้แก่ ระบบการวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้วยการควบคุมพลังของทั้ง ERP และ AI ธุรกิจสามารถปลดล็อกประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และนวัตกรรมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

ด้วย ERP บริษัทต่างๆ สามารถปรับปรุงการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ และรับการมองเห็นแบบเรียลไทม์ในตัวชี้วัดทางธุรกิจที่สำคัญ แนวทางบูรณาการนี้ช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขจัดไซโล และตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูล ในทางกลับกัน AI ช่วยให้องค์กรสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำงานที่ซ้ำซ้อนโดยอัตโนมัติ และเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า ด้วยการรวมความสามารถของ ERP และ AI ธุรกิจต่างๆ สามารถทำให้การดำเนินงานเป็นอัตโนมัติและปรับปรุงประสิทธิภาพ คาดการณ์แนวโน้มของตลาด ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นแบบส่วนบุคคล และได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกการปฏิวัติการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และสำรวจว่า ERP และ AI ทำงานร่วมกันอย่างไรเพื่อปลดล็อกโอกาสใหม่สำหรับธุรกิจทุกขนาดและอุตสาหกรรม นอกจากนี้เรายังจะกล่าวถึงตัวอย่างในชีวิตจริงขององค์กรที่ใช้ประโยชน์จากการผสมผสานอันทรงพลังนี้เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน ดังนั้น เรามาเริ่มต้นการเดินทางเพื่อปลดล็อกพลังของ ERP และ AI และค้นพบว่าสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงธุรกิจของคุณได้อย่างไร

อ่านเพิ่มเติ่ม ระบบ ERP คืออะไร? (จบในคลิปเดียว)

ทำความเข้าใจ ERP และ AI ในบริบทของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

เพื่อชื่นชมศักยภาพของ ERP และ AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจบทบาทของแต่ละเทคโนโลยี ระบบ ERP เป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมซึ่งรวมฟังก์ชันทางธุรกิจต่างๆ เช่น การเงิน การจัดการห่วงโซ่อุปทาน ทรัพยากรบุคคล และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ โดยให้ฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์และการมองเห็นกระบวนการทางธุรกิจที่สำคัญแบบเรียลไทม์ ช่วยให้องค์กรต่างๆ ปรับปรุงการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ และทำการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูล

ในทางกลับกัน AI หมายถึงการจำลองความฉลาดของมนุษย์ในเครื่องจักรที่ถูกตั้งโปรแกรมให้คิด เรียนรู้ และแก้ปัญหา เทคโนโลยี AI เช่น การเรียนรู้ของเครื่องและการประมวลผลภาษาธรรมชาติ ช่วยให้ระบบสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ทำงานที่ซ้ำกันโดยอัตโนมัติ และเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า ด้วยการรวมความสามารถของ ERP และ AI ธุรกิจต่างๆ สามารถทำให้การดำเนินงานเป็นอัตโนมัติและปรับปรุงประสิทธิภาพ คาดการณ์แนวโน้มของตลาด ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นแบบส่วนบุคคล และได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ประโยชน์ของ ERP และ AI ในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

การบูรณาการ ERP และ AI นำมาซึ่งประโยชน์มากมายสำหรับองค์กรที่เริ่มต้นการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ประการแรก ระบบ ERP ให้มุมมองแบบองค์รวมของการดำเนินธุรกิจ ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถแยกย่อยและส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างแผนกต่างๆ ด้วยข้อมูลแบบเรียลไทม์ที่ปลายนิ้ว ทีมสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล ระบุจุดคอขวด และปรับกระบวนการให้เหมาะสมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

ในทางกลับกัน AI ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของข้อมูลได้ ด้วยการวิเคราะห์ชุดข้อมูลขนาดใหญ่ อัลกอริธึม AI สามารถระบุรูปแบบ คาดการณ์ผลลัพธ์ และให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มของตลาด ระบุความต้องการของลูกค้า และปรับแต่งประสบการณ์ส่วนตัวได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทอีคอมเมิร์ซสามารถใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ตามประวัติการเข้าชมของลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ยอดขายที่เพิ่มขึ้นและความพึงพอใจของลูกค้า

นอกจากนี้ การผสมผสานระหว่าง ERP และ AI ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานที่ซ้ำซ้อนได้โดยอัตโนมัติ ทำให้พนักงานมีเวลาอันมีค่ามากขึ้นในการมุ่งเน้นไปที่ความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ตัวอย่างเช่น แผนกทรัพยากรบุคคลสามารถใช้แชทบอทที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อจัดการข้อซักถามของพนักงานตามปกติ ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคลมุ่งความสนใจไปที่งานที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น การได้มาซึ่งความสามารถและการพัฒนา สิ่งนี้ไม่เพียงปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน แต่ยังปรับปรุงประสบการณ์โดยรวมของพนักงานด้วย

อ่านเพิ่มเติม AI ปัญญาประดิษฐ์ทำให้ระบบ ERP มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร?

กรณีศึกษาที่จัดแสดงโครงการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จด้วย ERP และ AI

ตัวอย่างในชีวิตจริงขององค์กรที่ประสบความสำเร็จในการใช้ประโยชน์จากพลังของ ERP และ AI สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการรวมกันนี้ ตัวอย่างหนึ่งคือบริษัทผู้ผลิตระดับโลกที่ใช้ระบบการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งบูรณาการเข้ากับระบบ ERP ของตน ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลการบำรุงรักษาในอดีตและข้อมูลเซ็นเซอร์อุปกรณ์ บริษัทจึงสามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าอุปกรณ์อาจขัดข้องเมื่อใด สิ่งนี้ทำให้พวกเขาสามารถกำหนดเวลาการบำรุงรักษาเชิงรุก ลดการหยุดทำงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม

กรณีศึกษาอีกกรณีหนึ่งเกี่ยวข้องกับองค์กรค้าปลีกที่ใช้ ERP และ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ด้วยการบูรณาการระบบ ERP เข้ากับอัลกอริธึม AI บริษัทจึงสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการขาย พฤติกรรมลูกค้า และแนวโน้มของตลาดเพื่อคาดการณ์ความต้องการได้อย่างแม่นยำ สิ่งนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถลดการสต็อกสินค้า หลีกเลี่ยงการสต๊อกสินค้ามากเกินไป และปรับปรุงอัตราการหมุนเวียนสินค้าคงคลัง ซึ่งนำไปสู่การประหยัดต้นทุนได้อย่างมากและปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญในการใช้ ERP และ AI สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

แม้ว่าประโยชน์ของการบูรณาการ ERP และ AI จะชัดเจน แต่องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยสำคัญหลายประการเมื่อเริ่มต้นการเดินทางในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ประการแรก การปรับการนำ ERP และ AI ไปใช้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์ขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ การทำความเข้าใจจุดเจ็บปวดและความท้าทายเฉพาะที่ต้องแก้ไขจะช่วยกำหนดโซลูชัน ERP และ AI ที่เหมาะสมที่สุด

นอกจากนี้ องค์กรต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีที่มีอยู่สามารถรองรับการบูรณาการ ERP และ AI ได้ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ การเพิ่มขีดความสามารถของเครือข่าย และการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีกลยุทธ์การจัดการข้อมูลที่กำหนดไว้อย่างดีเพื่อให้มั่นใจในความถูกต้อง ความสมบูรณ์ และความปลอดภัยของข้อมูลในขณะที่ข้อมูลไหลผ่านระบบ ERP และ AI

นอกจากนี้ องค์กรควรพิจารณาความสามารถในการปรับขนาดและความยืดหยุ่นของโซลูชัน ERP และ AI ที่พวกเขาเลือกอย่างรอบคอบ เมื่อความต้องการทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีควรจะสามารถปรับตัว และเติบโตตามนั้นได้ การประเมินผู้จำหน่ายรายต่างๆ อย่างละเอียดและข้อเสนอต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นในการเลือกระบบ ERP และ AI ที่เหมาะสมที่สุด

เอาชนะความท้าทายในการบูรณาการ ERP และ AI เข้ากับระบบที่มีอยู่

การรวม ERP และ AI เข้ากับระบบที่มีอยู่อาจทำให้เกิดความท้าทายบางประการ แต่ด้วยการวางแผนและการดำเนินการที่เหมาะสม สิ่งเหล่านี้สามารถเอาชนะได้ ความท้าทายที่พบบ่อยประการหนึ่งคือการขาดมาตรฐานและคุณภาพของข้อมูล ระบบ ERP อาศัยข้อมูลที่แม่นยำและสม่ำเสมอเพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมาย ในขณะที่อัลกอริทึม AI ต้องการข้อมูลคุณภาพสูงเพื่อการคาดการณ์ที่แม่นยำ องค์กรต้องลงทุนเวลาและความพยายามในการทำความสะอาดและสร้างมาตรฐานข้อมูลเพื่อให้มั่นใจในความน่าเชื่อถือ

ความท้าทายอีกประการหนึ่งคือการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงจากพนักงาน การเปิดตัว ERP และ AI อาจขัดขวางขั้นตอนการทำงานและกระบวนการที่มีอยู่ ซึ่งนำไปสู่การต่อต้านจากพนักงานที่ไม่พอใจกับสภาพที่เป็นอยู่ กลยุทธ์การจัดการการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิผล รวมถึงการสื่อสาร การฝึกอบรม และการมีส่วนร่วม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับประกันว่าพนักงานจะยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และตระหนักถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับ

บทบาทของการวิเคราะห์ข้อมูลในการใช้ประโยชน์จาก ERP และ AI สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

การวิเคราะห์ข้อมูลมีบทบาทสำคัญในการใช้ประโยชน์จากพลังของ ERP และ AI สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล ระบบ ERP ให้ข้อมูลมากมายจากฟังก์ชันทางธุรกิจต่างๆ เช่น การขาย สินค้าคงคลัง และการเงิน ด้วยการใช้อัลกอริธึม AI กับข้อมูลนี้ องค์กรต่างๆ จะได้รับข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าและระบุรูปแบบที่ถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้

ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตสามารถใช้การวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อระบุปัญหาคอขวดของการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพระดับสินค้าคงคลัง และคาดการณ์ข้อกำหนดในการบำรุงรักษา ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูล ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และปรับปรุงประสิทธิภาพทางธุรกิจโดยรวม

การวิเคราะห์ข้อมูลยังช่วยให้องค์กรต่างๆ เข้าใจลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อ พฤติกรรมการเรียกดู และข้อมูลประชากร ธุรกิจสามารถปรับแต่งแคมเปญการตลาด แนะนำผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมแก่ลูกค้า สิ่งนี้ไม่เพียงเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า แต่ยังช่วยขับเคลื่อนความภักดีของลูกค้าและการดำเนินธุรกิจซ้ำอีกด้วย

แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดในการเพิ่มศักยภาพสูงสุดของ ERP และ AI ในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

เพื่อเพิ่มศักยภาพของ ERP และ AI ในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล องค์กรควรปฏิบัติตามชุดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด ประการแรก การมีแผนงานและกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการดำเนินการเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระบุเป้าหมายและวัตถุประสงค์เฉพาะ การกำหนดตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพหลัก และการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการ

ประการที่สอง องค์กรควรให้ความสำคัญกับคุณภาพและความถูกต้องของข้อมูล การใช้นโยบายการกำกับดูแลข้อมูล กระบวนการล้างข้อมูล และกลไกการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล ทำให้มั่นใจได้ว่า ระบบ ERP และ AI สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้และถูกต้อง นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างข้อมูลเชิงลึกที่มีความหมายและการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล

นอกจากนี้ องค์กรควรส่งเสริมวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรมและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมให้พนักงานยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ การให้โอกาสการฝึกอบรมและยกระดับทักษะ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการทดลองและการเรียนรู้จากความล้มเหลว

การฝึกอบรมและยกระดับทักษะให้กับพนักงานในยุค ERP และ AI

เนื่องจากองค์กรต่างๆ ยอมรับ ERP และ AI สำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องลงทุนในการฝึกอบรมและยกระดับทักษะของพนักงานเพื่อให้แน่ใจว่าการนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้และใช้งานจะประสบความสำเร็จ พนักงานจำเป็นต้องมีทักษะที่จำเป็นเพื่อยกระดับความสามารถของ ERP และ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โปรแกรมการฝึกอบรมควรครอบคลุมไม่เพียงแต่ด้านเทคนิคของการใช้ระบบ ERP และ AI เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจที่กว้างขึ้นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถขับเคลื่อนมูลค่าทางธุรกิจได้อย่างไร ซึ่งรวมถึงหัวข้อต่างๆ เช่น ความรู้ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการตัดสินใจตามข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากระบบ ERP และ AI

โปรแกรมยกระดับทักษะยังสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะที่เกี่ยวข้องกับการทำงานร่วมกัน การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการแก้ปัญหา ทักษะเหล่านี้จำเป็นสำหรับพนักงานในการปรับตัวให้เข้ากับภูมิทัศน์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ERP และ AI เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต

อนาคตของ ERP และ AI ในภูมิทัศน์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

ในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างรวดเร็ว อนาคตของ ERP และ AI ในภูมิทัศน์การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลก็มีแนวโน้มที่ดี เราคาดหวังที่จะเห็นความก้าวหน้าในอัลกอริธึม AI ซึ่งช่วยให้การวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนและซับซ้อนยิ่งขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การบูรณาการ ERP และ AI เข้ากับเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น Internet of Things (IoT), บล็อกเชน และความเป็นจริงเสริม จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ระบบ ERP สามารถใช้ประโยชน์จากเซ็นเซอร์ IoT เพื่อรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์จากสายการผลิต ช่วยให้องค์กรสามารถตรวจสอบประสิทธิภาพของอุปกรณ์และปรับตารางการบำรุงรักษาให้เหมาะสมแบบเรียลไทม์

บทสรุป: การนำ ERP และ AI มาใช้เพื่อความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

โดยสรุป การบูรณาการ ERP และ AI มีศักยภาพในการปฏิวัติวิธีการดำเนินงานขององค์กรและขับเคลื่อนการเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยการควบคุมพลังของ ERP เพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและเปิดเผยข้อมูลเชิงลึก ธุรกิจต่างๆ สามารถปรับกระบวนการให้เหมาะสม คาดการณ์แนวโน้มของตลาด ปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าให้เป็นแบบส่วนตัว และรับความได้เปรียบทางการแข่งขัน

อย่างไรก็ตาม การใช้ ERP และ AI ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ การพิจารณาปัจจัยสำคัญ และการเอาชนะความท้าทาย องค์กรต้องปรับการดำเนินงานให้สอดคล้องกับเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ รับประกันความสามารถในการปรับขนาดและความยืดหยุ่น ลงทุนในการจัดการข้อมูล และจัดการกับการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงของพนักงาน

การปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด จัดลำดับความสำคัญของการวิเคราะห์ข้อมูล และการลงทุนในการฝึกอบรมพนักงานและการยกระดับทักษะ องค์กรต่างๆ จะสามารถเพิ่มศักยภาพของ ERP และ AI สูงสุดบนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้ อนาคตมีความเป็นไปได้ที่น่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นในขณะที่เทคโนโลยียังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจในการปลดล็อกพลังของ ERP และ AI เพื่อความสำเร็จ

ใช้ SAP Business One ให้ได้ประโยชน์สูงสุดด้วย AI

AI เทคโนโลยีอัจฉริยะ กับการขายและการตลาด

AI (Artificial Intelligence) เป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทอย่างมากต่อธุรกิจ จนกลายเป็น “The Must” ไปแล้ว และก็มีความสำคัญสูงสุดในการขายในปัจจุบัน เนื่องจาก AI ช่วยให้ผู้ขายสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นเช่นกัน

มาพร้อมวิทยากรคู่ 🙂

คุณนาวิก นำเสียง

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด

คุณนาวิก ในฐานะของ CEO ของบริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่นทางธุรกิจที่มุ่งสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ดี มีความชำนาญในธุรกิจ CRM/CX, ERP และดิจิตอลมากกว่า 15 ปี นอกจากนี้ คุณนาวิกยังเป็นที่ปรึกษา นักบรรยายและนักเขียนให้หน่วยงานต่างๆ ในหัวข้อ Digital Transformation อีกด้วย

คุณพีระยุทธ ย่องซื่อ

ที่ปรึกษาอาวุโส ด้านเทคโนโลยีและแอปพลิเคชั่นของ บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด

ประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในฐานะที่ปรึกษาในการวางระบบแอปพลิเคชั่นทางธุรกิจทั้งระบบ CRM และ ERP ให้กับองค์กรต่างๆ จนปัจจุบัน

AI เทคโนโลยีอัจฉริยะกับการขายและการตลาด

7 เหตุผลที่ธุรกิจของคุณต้องย้ายไปใช้ระบบคลาวด์ (Cloud Computing)

ธุรกิจจำนวนมากนำ Cloud Computing มาใช้ในการดำเนินงานในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ระบบ Cloud computing หรือ on-demand computing ซึ่งบางครั้งเรียกว่าระบบการใช้บริการคอมพิวเตอร์ผ่านอินเทอร์เน็ต 


บริษัทต่างๆ ใช้จ่ายเงินจำนวนมากในการพัฒนาและติดตั้งซอฟต์แวร์ เพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน การประมวลผลแบบคลาวด์ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงซอฟต์แวร์ผ่านอินเทอร์เน็ตเหมือนเป็นบริการ (Access software on the internet as a service) การประมวลผลแบบคลาวด์ยังเป็นวิธีการจัดเก็บและแบ่งปันข้อมูลที่ปลอดภัย
 

พนักงานของคุณสามารถเข้าถึงบริการได้ตลอดเวลาและจากสถานที่ใดก็ได้ เพื่อทำงานให้เสร็จ บริการ Cloud Computing แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Platform as a Service (PaaS), Infrastructure as a Service (IaaS) และ Software as a Service (SaaS) คุณสามารถเลือกบริการใดก็ได้ขึ้นอยู่กับความต้องการของธุรกิจของคุณ หากคุณไม่แน่ใจว่าควรย้ายระบบคอมพิวเตอร์แบบเดิม (On-premise) มายังระบบคลาวด์ (Cloud) นี่คือเหตุผลหลักที่คุณควรย้ายธุรกิจของคุณไปสู่การประมวลผลแบบคลาวด์ 

1.    ค่าใช้จ่ายที่ลดลง (Reduced costs)
การสร้างและการเรียกใช้ Data Center ของตนเองมีราคาแพง คุณจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์ที่เหมาะสมและจ้างช่างเทคนิคเพื่อติดตั้งและจัดการศูนย์ เมื่อคุณเปลี่ยนมาใช้การประมวลผลแบบคลาวด์ คุณจะจ่ายเฉพาะบริการที่จัดหาเท่านั้น ตรวจสอบความต้องการของระบบคลาวด์ในองค์กรของคุณ ผู้ให้บริการจะคิดค่าใช้จ่ายบริการ Cloud Computing ตามการใช้งานพื้นที่เก็บข้อมูล จำนวนผู้ใช้ เวลาและพื้นที่หน่วยความจำ รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ดังนั้น คุณสามารถเลือกแพ็คเกจที่เหมาะสมกับงบประมาณของคุณและประหยัดค่าใช้จ่าย 

2.    ความยืดหยุ่น (Flexibility)
หนึ่งในประโยชน์หลักของการประมวลผลแบบคลาวด์คือความยืดหยุ่น คล่องตัว บริการนี้ช่วยให้คุณและพนักงานของคุณมีความยืดหยุ่นในการทำงานจากทุกสถานที่ พนักงานสามารถทำงานที่บ้านหรือนอกสถานที่ได้ 

คุณสามารถลดจำนวนเวิร์กสเตชันในสำนักงานของคุณและอนุญาตให้พนักงานบางคนทำงานจากที่บ้านเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย หรือในสถานการณ์วิกฤติ อาทิ COVID-19 หรือการปิดจลาจลจากการชุมนุม เป็นต้น เพิ่มเติม การประมวลผลแบบคลาวด์ช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบการดำเนินงานในธุรกิจของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณเพียงแค่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วเพื่อรับการอัปเดตแบบเรียลไทม์ของการดำเนินการทั้งหมด 

3.    ความสามารถในการขยาย (Scalability)
วิธีดั้งเดิมในการวางแผนสำหรับการเติบโตที่ไม่คาดคิดคือการซื้อเซิร์ฟเวอร์ที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูล คุณสมบัติสูงและไลเซ็นต์ซอฟต์แวร์เผื่อไว้ อาจใช้เวลาหลายปีก่อนที่คุณจะใช้ทรัพยากรสำรองนั่นจริงๆ การปรับขนาดบริการ Cloud Computing เป็นเรื่องง่าย คุณสามารถปรับพื้นที่จัดเก็บเพิ่มเติมหรือคุณสมบัติได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ ผู้ให้บริการของคุณจะอัปเกรดแพ็คเกจของคุณภายในไม่กี่นาทีตราบเท่าที่คุณมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 

4.    ไม่จำเป็นต้องมีแผนสำรองระบบคอมพิวเตอร์ (No need for a backup plan)
ระบบคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมต้องการแผนสำรอง โดยเฉพาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูล ภัยพิบัติสามารถนำไปสู่การสูญหายของข้อมูลอย่างถาวรหากไม่มีการจัดเก็บข้อมูลสำรองไว้ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการดังกล่าวในการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์ ข้อมูลจะพร้อมใช้งานตลอดเวลาตราบเท่าที่ผู้ใช้มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ธุรกิจบางแห่งใช้บริการ Cloud Computing เป็นข้อมูลสำรองและวางแผนสำหรับการกู้คืนระบบ 

5. ความปลอดภัยของข้อมูล (Data security)
บางครั้งการจัดเก็บข้อมูลบนระบบคลาวด์จะปลอดภัยกว่าการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูล Data Center หากแล็ปท็อปหรือคอมพิวเตอร์ของคุณถูกขโมย คุณก็อาจจะถูกละเมิดความปลอดภัยในข้อมูล หากคุณมีข้อมูลบนคลาวด์ คุณสามารถลบข้อมูลที่เป็นความลับจากระยะไกลหรือย้ายไปยังบัญชีอื่น การละเมิดมาตรการรักษาความปลอดภัยบนแพลตฟอร์มจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นคุณจึงมั่นใจได้ในความปลอดภัยของข้อมูล นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระบบคลาวด์

6. ตัวเลือกมากมาย (A wide range of options)
เราได้กล่าวถึงกลุ่มหลักของบริการ Cloud Computing ไปแล้วนั่นคือ IaaS, PaaS และ IaaS แต่ละกลุ่มมีหมวดหมู่ย่อยมากมายที่แตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการ ตัวอย่างเช่นหากคุณกำลังมองหาซอฟต์แวร์ คุณจะมีตัวเลือกมากมายจากผู้ให้บริการที่แตกต่างกัน คุณสามารถเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณสมบัติและอัตราที่ดีที่สุดสำหรับบริการที่ธุรกิจของคุณต้องการ 

7. ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน (Improved collaboration) 
ผู้บริหารหรือเจ้าของธุรกิจมักมองหาวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพของแต่ละบุคคลและทีม การประมวลผลแบบคลาวด์เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการปรับปรุงประสิทธิภาพของทีม 

สมาชิกในทีมสามารถแบ่งปันข้อมูลและทำงานร่วมกันเพื่อทำโครงการให้เสร็จสมบูรณ์แม้จะมาจากสถานที่ต่างๆ พนักงานภาคสนามสามารถแบ่งปันข้อมูลแบบเรียลไทม์และอัปเดตกับผู้ที่อยู่ในสำนักงานได้อย่างง่ายดาย 

นอกจากนี้การประมวลผลแบบคลาวด์ยังช่วยลดงานที่ซ้ำซากหรือซ้ำซากเช่นการส่งข้อมูลซ้ำคุณสามารถปรับปรุงระดับประสิทธิภาพเพิ่มผลผลิตและประหยัดค่าใช้จ่ายโดยย้ายธุรกิจของคุณไปยัง Cloud Computing แนวทางที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนการดำเนินงานทีละน้อยเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียข้อมูลหรือระหว่างจัดการข้อมูล (Manipulation)

เปรียบเทียบผู้ให้บริการที่แตกต่างกันและช่วงของบริการเพื่อเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสม ประสบการณ์และความสามารถในการรับสิทธิประโยชน์ที่ระบุไว้ข้างต้นขึ้นอยู่กับผู้ให้บริการที่คุณเลือก ขอการอ้างอิงจากเจ้าของธุรกิจรายอื่นหรือตรวจสอบประวัติอย่างละเอียดเพื่อรับบริการ Cloud Computing ที่ดีที่สุด

The Social Dilemma ถอดบทเรียนสื่อสังคมออนไลน์ สู่ภัยอันตรายใกล้ตัว

Social Dilemma

The Social Dilemma เป็นภาพยนตร์ Documentary ของ Netflix ที่ร้อนแรงมากในช่วงนี้ (กันยายน 2563) ภาพยนตร์เล่าถึงความน่ากลัวของสื่อสังคมออนไลน์ โดยมุ่งโจมตีไปที่ Facebook, Twitter, Instagram, Youtube และอื่นๆ ผู้ให้บริการเหล่านี้ใช้ข้อมูลของเรา เพื่อสร้างรายได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันได้สร้างพฤติกรรมหลายอย่างต่อเด็กและเยาวชนของเรา ที่เปลี่ยนแปลงไปเมือเทียบกับยุคก่อนสื่อสังคมออนไลน์

เรามาดูบทเรียนที่ได้จากภาพยนตร์ The Social Dilemma กัน

1. If you are not paying for the product, you are the product.

ถ้าคุณใช้บริการ “ฟรี” ก็ขอให้คิดเสมอว่า คุณคือ “สินค้า” นั่นเอง

เมื่อผู้ให้บริการออนไลน์ไม่ได้รายได้จากผู้ใช้ ดังนั้นผู้ให้บริการก็ต้องไปหารายได้จากแหล่งอื่น นั่นก็คือ “โฆษณา” แล้วผู้จ่ายค่าโฆษณาให้กับผู้ให้บริการก็ต้องการความคุ้มค่าและเข้าถึงผู้ใช้ให้มากที่สุด โดยดูจากพฤติกรรมของผู้ใช้นั่นเอง

ดังนั้น ไม่มีของฟรีจริงๆ ในโลกนะ คุณต้องสูญเสียอะไรบางอย่างไป ในที่นี้ก็คือข้อมูลของคุณนั่นเอง

“I hate the term ‘users’ now,” Parler CEO John Matze told Fox News.

“They made a good point in the film, which was that users are like drug addicts… users are people who are addicted to something. The only two people that call their customers users are drug dealers and social media,” Matze said. “So we are going to be redefining the term ‘user’ anywhere we have it on our app to be ‘people’ or ‘citizens.’”

2. Social Media is Drug.

มีเพียง 2 ธุรกิจที่เรียกลูกค้าว่า “ผู้ใช้” หรือ “User” นั่นคือธุรกิจ Social Media และพ่อค้ายาเสพติด (Drug dealer) จึงไม่แปลกเลยที่จะบอกได้ว่า สื่อสังคมออนไลน์ก็คือยาเสพติด ที่ผู้ให้บริการพยายามให้ลูกค้าหรือผู้ใช้ติด (Addict) แล้วไม่หนีไปไหน เหมือนกับพวกติดยาเลย

เราอยู่ในยุคที่เด็กวัยรุ่นออกเดทลดลงและเด็กพบปะผู้คนลดลง เด็กยุค Gen Z ใช้เวลากับมือถือมากๆ เหมือนเสพติดยาอยู่

3. ปุ่ม Like คือฆาตกร

Justin Rosenstein ผู้ร่วมประดิษฐ์ปุ่ม Like ขณะที่ทำงานให้กับ Facebook เล่าว่า เค้าไม่คิดว่าปุ่ม Like จะทำให้สื่อสังคมออนไลน์เป็นที่นิยม และในขณะเดียวกัน มันทำให้คนรู้สึกหดหู่ด้วย โดยเฉพาะกับเด็ก

เด็กจะเปรียบเทียบจำนวน Like ของโพสต์ตัวเองกับเพื่อนหรือกับโพสต์ที่ผ่านมา ส่งให้ผลในทางลบให้เด็กเกิดอาการหดหู่ จนมีหลายเคสถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาสุขภาพจิตกัน

สถิติเด็กวัยรุ่นเข้าโรงพยาบาลบำบัดจิตจากการทำร้ายตัวเองสูงขึ้น และรวมไปถึงสถิติการฆ่าตัวตายที่สูงขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะเด็ก 10-14 ปี (Pre-teen) ที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น เป็นแนวโน้มที่น่ากลัวมาก แล้วทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังกำเนิดสื่อสังคมออนไลน์

4. โฆษณาในสื่อสังคมออนไลน์ไม่ใช่แค่เพลตฟอร์มวางโฆษณาธรรมดาอีกต่อไป

The Social Dilemma ให้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลของผู้ใช้มีความสำคัญขนาดไหน ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่าไร ผู้ให้บริการก็สามารถคาดการณ์พฤติกรรมของผู้ใช้ได้มากขึ้น

โฆษณาไม่ได้ถูกส่งไปหากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเท่านั้น แต่เฟลตฟอร์มจะใช้ AI (Aritificial Intelligent) สร้างโมเดลของผู้ใช้ ด้วยการทดลอง A/B Testing แล้วเปรียบเทียบ ผู้ใช้ไหนที่ถูกชักจูงได้ตามการทดสองก็จะเป็นผู้ชนะและนำไปใช้เป็นโมเดลกับผู้ใช้อื่นๆ

การทดลองนี้จะมีตั้งแต่การส่งเนื้อหาข้อมูล วิดีโอและอื่นๆ เพื่อสร้างความดึงดูด หรือแม้กระทั่งการ Tag ก็ตาม

ทุกครั้งที่เรา Scroll down ผู้ให้บริการจะใช้ Algorithm ประมวลผลว่าวิดีโอหรือเนื้อหาถัดไปที่คุณจะคลิก มันไม่ใช่ความบังเอิญหรือแสดงเนื้อหาเฉพาะกลุ่มแล้ว มันเป็นเนื้อหาสำหรับคุณคนเดียวเลย นี่ยังไม่รวมดูนานแค่ไหน ดูซ้ำ อะไรอีกมากมาย

5. ข่าวปลอม (Fake News) ถูกแชร์มากกว่า ข่าวจริง (True News) ถึง 6 เท่า

หากสถิติเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ให้บริการรายใดอยากที่จะจัดการกับข่าวปลอมล่ะ

ภาพยนตร์ได้แสดงให้เห็นว่าเมือใดที่คุณได้เสพติดเนื้อหานั้นแล้ว เช่น ข่าวใดข่าวหนึ่งซึ่งจะจริงหรือปลอมก็ไม่รู้ แต่ส่วนใหญ่จะปลอมหรือลำเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง สื่อสังคมออนไลน์ก็จะป้อนเนื้อหาในทำนองนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนคุณมโนว่ามันคือความจริง

คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ตรงข้ามกับคุณก็ดูเนื้อหาอีกชุดหนึ่ง

แล้วนี่จึงเป็นปัญหาให้เกิดความแตกแยกทางสังคม เพราะ Algorithm ที่มันป้อนให้กับพวกเราไม่สามารถนำเสนออะไรที่แบบทั้งสองฝ่ายได้

เด็กที่คิดว่าตัวเองเป็นโรคทางจิตหรือมีพฤติกรรมแบบใด เมือค้นหาข้อมูลเหล่านั้น เค้าก็จะคิดว่าเค้าเป็นแบบนั้น ทั้งๆ ที่เด็กอาจจะไม่ใช่แบบนั้นก็ได้

6. Engagement, Growth & Monetary (Advertising)

มูลค่าโฆษณาออนไลน์เป็นเม็ดเงินมหาศาลที่ผู้ให้บริการกระโจนเข้าด้วยการสร้างจำนวนผู้ใช้จำนวนมากและให้ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากขึ้น มีการแบ่งกลยุทธ์เป็น 3 ส่วน คือ

Engagement – การมีส่วนร่วม เป็นการสร้างการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ เช่น Like, Share, Comment, Post เป็นต้น ยิ่งมีส่วนร่วมมากเท่าไร ผู้ให้บริการก็จะรู้จักผู้ใช้งานมากขึ้น

Growth – การเติบโต เป็นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน ตั้งแต่การให้คุณกลับมาใช้บ่อยๆ การเชื้อเชิญเพื่อน เป็นต้น

Monetary (Advertising) – รายได้ เป็นการวัดรายได้ที่ได้จากผู้ใช้ ในภาพยนตร์นี้จะเน้นที่รายได้จากโฆษณาเป็นหลัก เราสามารถวัดที่รายได้รวม รายได้ต่อผู้ใช้งาน เป็นต้น

ในแง่ธุรกิจและการตลาด ผมแนะนำให้คุณมีผู้รับผิดชอบแต่ละส่วนแยกกันไปเลยครับ เช่น Head of Engement, Head of Growth และ Head of Advertising เป็นต้น

โดยสรุป ผมก็อยากให้ทุกคนหาโอกาสชม The Social Dilemma ตามชื่อเรื่อง มันคือทางสองแพร่ง ที่สื่อสังคมออนไลน์มีทั้งข้อดีและภัยอันตรา อย่างน้อยเราจะเข้าใจมันและป้องกันไม่ให้เกิดกับครอบครัวของเราได้

Omnichannel ทางรอดของธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ | รายการ 101dotNET วันที่ 15 ส.ค. 2563

Omnichannel Marketing

รายการ 101dotNET สถานีวิทยุ FM101ในหัวข้อ Omnichannel ทางรอดของธุรกิจค้าปลีกยุคใหม่ ร่วมรายการโดยคุณนาวิก นำเสียง CEO บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด ดำเนินรายการโดยคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา และคุณภานุกร พสุชัยสกุล

สถานีวิทยุ FM101รายการวิทยุที่นำเสนอสาระความรู้ในแวดวงเทคโนโลยีดิจิทัล คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโอที ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/101dotnet

ระบบการเรียนการสอนออนไลน์ e-Learning โดยคุณนาวิก นำเสียง | รายการ 101dotNET (6 มิ.ย. 2563)

รายการ 101dotNET สถานีวิทยุ FM101ในหัวข้อ ระบบการเรียนการสอนออนไลน์ e-Learning ร่วมรายการโดยคุณนาวิก นำเสียง CEO บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด ดำเนินรายการโดยคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา และคุณภานุกร พสุชัยสกุล

สถานีวิทยุ FM101 รายการวิทยุที่นำเสนอสาระความรู้ในแวดวงเทคโนโลยีดิจิทัล คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโอที ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/101dotnet

ระบบบริหารงานขาย (Sales Force Automation) โดยคุณนาวิก นำเสียง | รายการ 101dotNET (11 ก.ค. 2563)

รายการ 101dotNET สถานีวิทยุ FM101ในหัวข้อ ระบบบริหารงานขาย (Sales Force Automation) ร่วมรายการโดยคุณนาวิก นำเสียง CEO บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด ดำเนินรายการโดยคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา และคุณภานุกร พสุชัยสกุล

สถานีวิทยุ FM101รายการวิทยุที่นำเสนอสาระความรู้ในแวดวงเทคโนโลยีดิจิทัล คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโอที ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/101dotnet

Work From Home (WFH) | รายการ 101dotNET ( 9 พ.ค. 2563 )

รายการ 101dotNET สถานีวิทยุ FM101ในหัวข้อ Work From Home (WFH) ร่วมรายการโดย คุณนาวิก นำเสียง CEO บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด ดำเนินรายการโดยคุณพันธุ์ทิตต์ สิรภพธาดา และคุณภานุกร พสุชัยสกุล สถานีวิทยุ FM101รายการวิทยุที่นำเสนอสาระความรู้ในแวดวงเทคโนโลยีดิจิทัล คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต ไอโอที ติดตามได้ที่ https://www.facebook.com/101dotnet

IoT กับ IoE: สิ่งของ หรือ ประสบการณ์

           เทคโนโลยีได้มีวิวัฒนาการมาโดยตลอดและมีความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้นในช่วงการเกิดของอินเตอร์เน็ต ทั้งระบบเครือข่ายจากเครือข่ายมีสายสู่เครือข่ายไร้สาย ระบบคอมพิวเตอร์ที่รวดเร็วขึ้นด้วยขนาดที่เล็กลง ระบบซอฟต์แวร์ที่ชาญฉลาดขึ้น และ ระบบเซ็นเซอร์ที่สามารถตรวจจับทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงร่างกายมนุษย์ ด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้ คุณสามารถที่จะทราบสถานะของตัวเอง ตำแหน่งที่ตั้ง กิจกรรมต่างๆ ของสิ่งของกับตัวเรา เราเรียกมันว่า Internet of Things (IoT) ที่สิ่งของจะเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือจะมองอีกแง่หนึ่งได้ว่า IoT จะทำให้เกิด “ชั้นดิจิตอลที่เต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาลครอบคลุมพื้นที่โลกของเราอีกที”

            Forrester Research ได้คาดการณ์ว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ทุกสิ่งในบ้านและอุปกรณ์ Gadget ทั้งหลายจะเชื่อมต่อกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มากกว่า 50 พันล้านอุปกรณ์ทั่วโลก คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 67 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว

            จากจุดนี้ IoT ก็จะก้าวข้ามไปอีกหนึ่งขั้น เมือ IoT สามารถนำเสนอข้อมูลมหาศาลระหว่างสิ่งของได้และมีความสามารถในการประมวลผลเพื่อตอบสนองผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ไม่่ว่าจะในรูปแบบของการนำเสนอข้อมูลเป็นข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือแม้กระทั้งเสียง การก้าวข้ามมาจุดนี้ได้ “สิ่งของ” จะไม่เป็นเพียงแค่ “สิ่งของ” อีกต่อไป “สิ่งของ” จะสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้ใช้ด้วยข้อมูลของตำแหน่ง สิ่งของ กิจกรรมต่างๆ ที่เราเรียกว่า Internet of Experiences (IoE)

            ขณะที่ IoT จะเน้นความสำคัญไปที่ “สิ่งของ” แต่ IoE จะมองเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกระดับในการสร้างประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้หรือผู้บริโภคด้วยความสามารถของสิ่งของที่ชาญฉลาดขึ้น นำไปสู่การบริการที่ดีขึ้น

            ปัจจัยหลักที่สามารถนำไปสู่ความสำเร็จของ IoE ต้องประกอบด้วย

การเชื่อมต่อ (Connected)

            อันนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สิ่งของและเซ็นเซอร์จะต้องเชื่อมต่อถึงกันผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ยิ่งเป็นการเชื่อมต่อแบบ Real-time ได้ก็ยิ่งดี แต่แน่นอนว่าต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นก็จะตามมาเช่นกัน

บริบท (Contextual)

            เมือทุกอย่างเชื่อมต่อกันหมดแล้วอย่างต่อเนื่อง สิ่งของจะต้องมีความชาญฉลาดขึ้นและปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ เนื้อหาที่นำเสนอจะต้องตรงใจผู้ใช้ ด้วยการนำเสนอที่เป็นข้อมูลหรือบริการส่วนบุคคล (Individualised) เพื่อที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีแบบส่วนบุคคล (Customised expeience) อย่างแท้จริง

ความต่อเนื่อง (Continuous)

            สุดท้าย คงจะหนีไม่พ้นความสัมพันธ์ที่ดีกว่าลูกค้าอย่างต่อเนื่อง การปรับบริการที่ดีขึ้นจะช่วยสร้างความจงรักภักดีให้กับบริษัทและนำไปสู่การกลับมาซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง

            ตัวอย่างของ Huggies Tweetpee (https://goo.gl/QW5iR0) ที่ติดเซ็นเซอร์ไว้กับผ้าอ้อมเด็ก โดยเซ็นเซอร์จะส่งข้อมูลไปยังมือถือเมือผ้าอ้อมเด็กเปียกจนต้องเปลี่ยนใหม่ ด้วยความสามารถของเซ็นเซอร์และแอปพลิเคชั่นทำให้ลูกค้าพึงพอใจที่ไม่ต้องเป็นห่วงลูกน้อยของตัวเองและสามารถเช็คจำนวนผ้าอ้อมเด็กได้อีกด้วย ในแง่ของบริษัท บริษัทก็จะทราบพฤติกรรมของผู้บริโภค พฤติกรรมการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กและสุดท้ายทราบการสั่งซื้อผ้าอ้อมเด็กอีกด้วย ที่สามารถสื่อสารไปยังลูกค้าได้เมือถึงเวลาสั่งซื้อสินค้าเป็นต้น

            เมือ “สิ่งของ” เริ่มชาญฉลาดขึ้น เริ่มปฏิสัมพันธ์กับผู้ใช้งานได้ มันก็สามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นเลิศให้กับลูกค้าได้ ที่นำมาซึ่งรายได้บริษัทและความพึงพอใจของลูกค้า อย่างไรก็ตาม อย่าลืมไปว่า “สิ่งของ” ไม่มีชีวิต ลูกค้าเองก็ยังต้องการประสบการณ์ที่ดีกับคนที่มีชีวิตจิตใจที่สามารถเข้าใจคนกันเองได้ดีกว่า

นาวิก นำเสียง

กรรมการผู้จัดการ

บริษัท ซันเด โซลูชันส์ จำกัด

navik@sundae.co.th