อนาคตของการจัดการงานบริการ (Service Management): แนวโน้มที่กำลังกำหนดทิศทางธุรกิจของคุณ

Service Management แนวโน้มที่กำลังกำหนดทิศทางธุรกิจของคุณ

การจัดการงานบริการ (Service Management) เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแก่ลูกค้าในยุคดิจิทัลปัจจุบัน ไม่เพียงแต่เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการต้นทุน การวางแผนทรัพยากร และการบำรุงรักษาเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างประสบการณ์ที่น่าพึงพอใจและต่อเนื่องสำหรับลูกค้าทั้งในด้านการบริการภายในและการให้บริการลูกค้าภายนอก ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้าเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มเหล่านี้ถือเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

องค์ประกอบหลักของการจัดการงานบริการ

การจัดการงานบริการไม่ได้หมายถึงเพียงการส่งมอบบริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกระบวนการในการควบคุม วางแผน และดำเนินงานเพื่อให้แน่ใจว่าการบริการดังกล่าวสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและเป้าหมายทางธุรกิจ มาดูที่องค์ประกอบสำคัญของการจัดการงานบริการ:

  1.   การวางแผนต้นทุนงานและทรัพยากร (Job Costing & Resource Planning)

การจัดการต้นทุนงานและการวางแผนทรัพยากรเป็นหัวใจหลักของการบริการที่มีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์และติดตามต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับงานแต่ละงาน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนของแรงงาน วัสดุ หรือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จะช่วยให้ธุรกิจสามารถคำนวณผลกำไรและขาดทุนได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ การวางแผนทรัพยากรยังช่วยให้ธุรกิจใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าเพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลา

  2.   การบำรุงรักษาและบริการภาคสนาม (Field Service & Maintenance)

การให้บริการภาคสนามเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากทีมช่างและเจ้าหน้าที่จะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลการบริการได้จากทุกที่ ในยุคดิจิทัลนี้ การใช้อุปกรณ์มือถือและการเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ทำให้ช่างสามารถอัปเดตสถานะของงานบริการได้แบบเรียลไทม์ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันและพยากรณ์ยังช่วยให้ธุรกิจลดการหยุดชะงักของอุปกรณ์และลดต้นทุนการบำรุงรักษาที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

  3.   การผสานการบริการลูกค้า (Customer Service Integration)

ในปัจจุบัน ลูกค้ามีความคาดหวังสูงขึ้นว่าธุรกิจจะสามารถให้บริการที่ตรงกับความต้องการของพวกเขาได้อย่างราบรื่นและเป็นไปตามความต้องการส่วนบุคคล การใช้เครื่องมือที่สามารถเชื่อมต่อช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ เช่น อีเมล โทรศัพท์ แชท และโซเชียลมีเดีย ช่วยให้ธุรกิจสามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้บริการเชิงรุก โดยการพยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าและเสนอแนวทางแก้ไขก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาจริง จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในระยะยาว

  4.   การติดตามกิจกรรมแบบเรียลไทม์ (Real-Time Activity Tracking)

การติดตามสถานะของงานบริการและตำแหน่งของช่างภาคสนามในแบบเรียลไทม์ช่วยให้ผู้บริหารสามารถมองเห็นภาพรวมของการดำเนินงานได้ดียิ่งขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น แต่ยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการดำเนินงาน เช่น การจัดส่งช่างผิดพลาดหรือการลืมงานที่ต้องทำ การปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับองค์กร

แนวโน้มสำคัญในอนาคตของการจัดการงานบริการ

ในปัจจุบัน การจัดการงานบริการได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วด้วยการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อปรับปรุงการให้บริการและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มาดูกันว่าแนวโน้มสำคัญที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้มีอะไรบ้าง:

1. การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์ (Predictive Maintenance)

การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์เป็นหนึ่งในแนวโน้มที่สำคัญที่สุดในด้านการจัดการงานบริการ ด้วยการใช้เซนเซอร์ IoT และเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล ธุรกิจสามารถตรวจสอบสภาพของอุปกรณ์และเครื่องจักรในแบบเรียลไทม์ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถพยากรณ์การเสียหายของอุปกรณ์ได้ก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง ทำให้ธุรกิจสามารถกำหนดเวลาซ่อมบำรุงล่วงหน้าได้ตามความจำเป็น ซึ่งจะช่วยลดการหยุดทำงานที่ไม่ได้วางแผนไว้และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ตัวอย่างของการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์:

•   การใช้เซนเซอร์ในการวัดสภาพการทำงานของเครื่องจักร เช่น อุณหภูมิ การสั่นสะเทือน หรือแรงดัน เพื่อพยากรณ์ว่าเมื่อใดที่เครื่องจักรจะเสียหาย

•   การใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น

•   การกำหนดเวลาซ่อมบำรุงล่วงหน้าเพื่อป้องกันการหยุดชะงักที่ไม่คาดคิด

ผลที่ได้จากการใช้เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการบำรุงรักษา แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2. โมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric Service Models)

ในโลกที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้น การให้บริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ากลายเป็นสิ่งสำคัญมากยิ่งขึ้น การปรับแต่งประสบการณ์การบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และการตอบสนองต่อปัญหาอย่างรวดเร็ว สามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าได้อย่างมาก โมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางนี้รวมถึงการให้บริการผ่านช่องทางหลายช่องทาง เช่น โทรศัพท์ อีเมล แชท และโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถติดต่อกับบริษัทได้สะดวกที่สุด

ตัวอย่างของโมเดลการบริการที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง:

•   การให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล โดยการปรับแต่งการบริการตามประวัติการใช้งานของลูกค้า

•   การใช้ระบบการบริการเชิงรุกที่สามารถคาดการณ์ปัญหาของลูกค้าได้ล่วงหน้าและเสนอการแก้ไขก่อนที่ลูกค้าจะร้องขอ

•   การเชื่อมต่อการสื่อสารหลายช่องทางให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้ลูกค้าสามารถติดต่อได้ผ่านช่องทางที่พวกเขาต้องการ

3. การใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติ (Real-Time Data and Automation)

การใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ในการติดตามการดำเนินงานและการตัดสินใจเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในด้านการจัดการงานบริการ ข้อมูลที่ได้รับการอัปเดตตลอดเวลาช่วยให้ธุรกิจสามารถรับรู้ถึงสถานะของงานบริการและอุปกรณ์ในทันที ทำให้สามารถตัดสินใจได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ระบบอัตโนมัติยังช่วยลดการพึ่งพางานที่ต้องใช้มนุษย์ โดยสามารถทำงานซ้ำ ๆ เช่น การจัดส่งช่างหรือการจัดการใบสั่งซื้อได้โดยอัตโนมัติ

ประโยชน์จากการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และระบบอัตโนมัติ:

•   ลดความล่าช้าในการให้บริการเนื่องจากการประมวลผลข้อมูลและการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น

•   เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานโดยลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมนุษย์

•   ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างรวดเร็ว

4. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning)

AI และ Machine Learning ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในโลกของการจัดการงานบริการ เทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการพยากรณ์ปัญหาของอุปกรณ์ การปรับปรุงกระบวนการทำงาน และการให้บริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าโดยอัตโนมัติ AI สามารถช่วยธุรกิจลดเวลาในการตอบสนองต่อปัญหาและปรับปรุงประสบการณ์การบริการให้ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

การประยุกต์ใช้ AI และ Machine Learning ในการจัดการงานบริการ:

•   การใช้ AI ในการสร้างแชทบอทหรือผู้ช่วยอัจฉริยะ (Intelligent Assistant) เพื่อช่วยตอบคำถามและช่วยลูกค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา

•   การใช้ Machine Learning ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากงานบริการเพื่อตรวจหาปัญหาและปรับปรุงกระบวนการทำงาน

•   การสร้างประสบการณ์การให้บริการที่ตรงตามความต้องการของลูกค้าโดยอัตโนมัติ เช่น การเสนอคำแนะนำหรือผลิตภัณฑ์เสริมตามข้อมูลการใช้งานของลูกค้า

5. การเปลี่ยนแปลงการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร (Service as a Profit Center)

ในอดีต การบริการมักถูกมองว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายของธุรกิจ แต่ด้วยการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ การบริการสามารถเปลี่ยนไปเป็นแหล่งกำไรใหม่ของธุรกิจได้ ตัวอย่างเช่น การนำเสนอแพ็กเกจบริการเสริม การให้บริการซ่อมบำรุงหลังการขาย หรือการเปิดโมเดลการสมัครสมาชิกเพื่อลูกค้ารับบริการอย่างต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มรายได้จากการบริการได้

กลยุทธ์การสร้างรายได้จากการบริการ:

  • การนำเสนอโมเดลการสมัครสมาชิก (Subscription Model) ที่ให้บริการต่อเนื่อง เช่น การบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์หรือการต่ออายุสัญญาบริการ
  • การเพิ่มมูลค่าผ่านการขายบริการเสริม เช่น การอัปเกรดอุปกรณ์หรือการรับประกันเพิ่มเติม

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร (Service as a Profit Center):

•   การนำเสนอ แพ็กเกจบริการพิเศษ: เช่น การให้บริการบำรุงรักษาที่ครอบคลุมระยะยาวหรือการตรวจเช็คอุปกรณ์เพิ่มเติม ที่สามารถให้ลูกค้าเลือกซื้อเสริมจากบริการพื้นฐานได้

•   การให้บริการแบบต่อเนื่อง: ธุรกิจสามารถใช้โมเดลการสมัครสมาชิกที่ทำให้ลูกค้าจ่ายค่าบริการรายเดือนหรือรายปีเพื่อรับบริการซ่อมบำรุงและการดูแลระบบอย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการหยุดชะงักหรือค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน

•   การใช้ข้อมูลจากบริการเพื่อหาโอกาสใหม่ๆ: ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากการให้บริการเพื่อระบุโอกาสในการขายสินค้าและบริการเสริมเพิ่มเติม เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์ที่เข้ากันได้หรือการบริการอื่นที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า

การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การบริการกลายเป็นแหล่งกำไร แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้า และรักษาลูกค้าให้ยาวนานขึ้น

การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัล (Digital Transformation)

การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัลถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนแนวโน้มการจัดการงานบริการในยุคปัจจุบัน การปรับใช้เทคโนโลยีเช่น IoT (Internet of Things), ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ ระบบอัตโนมัติ ทำให้ธุรกิจสามารถขยายขีดความสามารถในการให้บริการได้อย่างก้าวกระโดด

1. IoT (Internet of Things) และการเชื่อมต่ออุปกรณ์

เทคโนโลยี IoT ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามสถานะของอุปกรณ์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ผ่านการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต สิ่งนี้ช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อใช้ในการวิเคราะห์และปรับปรุงการให้บริการได้แบบต่อเนื่อง นอกจากนี้ IoT ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงการบำรุงรักษาอุปกรณ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการใช้เซนเซอร์ตรวจวัดการสึกหรอและคาดการณ์การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์

ประโยชน์ของ IoT ในการจัดการงานบริการ:

•   การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์: ช่วยให้สามารถติดตามสถานะและสภาพการทำงานของอุปกรณ์ได้ตลอดเวลา ทำให้สามารถรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันท่วงที

•   การเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์: ช่วยให้ช่างและเจ้าหน้าที่สามารถเข้าถึงข้อมูลและอัปเดตงานได้จากทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบข้อมูลหรือการรายงานสถานะของอุปกรณ์

•   การพยากรณ์และการบำรุงรักษาเชิงพยากรณ์: ข้อมูลที่รวบรวมจากเซนเซอร์สามารถใช้ในการพยากรณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ช่วยให้สามารถจัดการงานบำรุงรักษาล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ

2. ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และการวิเคราะห์ข้อมูล

AI เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการ AI สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำเสนอข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปใช้ปรับปรุงการดำเนินงานได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นการพยากรณ์ความต้องการของลูกค้า การตรวจจับปัญหาของอุปกรณ์ หรือการแนะนำวิธีการแก้ปัญหาแบบอัตโนมัติ

การใช้ AI ในการจัดการงานบริการ:

•   การวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์: AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยให้ผู้จัดการสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น การคาดการณ์ความต้องการบำรุงรักษา

•   การช่วยตอบคำถามลูกค้า: AI สามารถนำไปใช้ในแชทบอทหรือผู้ช่วยอัจฉริยะเพื่อช่วยตอบคำถามจากลูกค้าได้ทันที โดยไม่ต้องรอการตอบกลับจากทีมงานจริง

•   การปรับแต่งการให้บริการตามความต้องการ: AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าและปรับการให้บริการให้ตรงกับความต้องการส่วนบุคคล ช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า

สรุป: การขับเคลื่อนการจัดการงานบริการสู่อนาคต

อนาคตของการจัดการงานบริการนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยแนวโน้มทางเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของลูกค้า ธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างต่อเนื่องจะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้โดยการนำเทคโนโลยีเช่น IoT, AI, และการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์มาใช้ในการพัฒนากระบวนการบริการของตน

นอกจากนี้ การให้ความสำคัญกับลูกค้าและการมองการบริการเป็นศูนย์กลางกำไร จะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ธุรกิจที่สามารถใช้แนวโน้มเหล่านี้อย่างเต็มที่จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับลูกค้า ลดต้นทุนการดำเนินงาน และสร้างโอกาสในการทำกำไรใหม่ๆ ได้อย่างยั่งยืน

ในท้ายที่สุด การจัดการงานบริการจะไม่ใช่เพียงแค่การดูแลลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว ธุรกิจที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับอนาคตของการจัดการงานบริการจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างต่อเนื่องในโลกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

นาวิก นำเสียง

CEO – Sundae Solutions Co,, Ltd.

บริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต

สวัสดีปีใหม่ครับ สำหรับท่านที่ติดตามข่าวคราวเกี่ยวกับวงการไอที คงจะพอทราบว่าแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมไอทีทั่วโลกในปีใหม่นี้อาจจะไม่ค่อยสดใสเท่าที่ควร คงเป็นผลสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่อยู่ในช่วงถดถอยและความวิตกกังวลในภาวะสงครามที่จะเกิดขึ้น

ด้วยผลของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวนี้ แนวโน้มของเทคโนโลยีในปี พ.ศ. 2546 จึงเน้นเทคโนโลยีที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายขององค์กรและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานเป็นส่วนใหญ่ อาทิ แนวโน้มการใช้ระบบปฏิบัติการ Linux มากขึ้น แนวโน้มการใช้ระบบเครือข่ายภายในแบบไร้สาย (Wireless LAN) มากขึ้น เป็นต้น การบริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต (Internet Customer Service) ก็เป็นอีกหนึ่งแนวโน้มของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ. นี้ เหตุผลหลักก็เนื่องมาจากอัตราการเติบโตของการใช้งานอินเตอร์เน็ตที่สูงขึ้นและการซื้อขายสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่สูงขึ้น

การศึกษาของ Pew Internet & American Life Project ในปี พ.ศ. 2545 พบว่าร้อยละ 63 ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตในสหรัฐคาดหวังที่จะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการทั้งหมดผ่านทางเว็บไซต์ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ซื้อสินค้านั้นก็ตาม และร้อยละ 46 ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตต้องการให้เว็บไซต์เหมือนกับร้านค้าจริงที่สามารถจะค้นหาสินค้าและสอบถามข้อมูลได้ตลอดเวลา

การบริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ต หมายถึง การให้บริการต่างๆ แก่ลูกค้าผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต เช่น การให้ข้อมูลของสินค้าและบริการ การตอบปัญหา รับสมัครสมาชิก จุดซื้อขายสินค้า เป็นต้น การบริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตจะช่วยรับมือกับคำถามหรือปัญหาซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยได้เป็นอย่างดี ลูกค้าสามารถได้รับคำตอบได้อย่างรวดเร็วทันใจด้วย โดยเฉพาะลูกค้าที่กำลังใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์อยู่ คุณอาจจะลองนึกถึงการให้บริการข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ก็ได้ รูปแบบการให้บริการลูกค้าผ่านทางเว็บไซต์จะมีตั้งแต่ ข้อมูลประเภท FAQ, กระทู้ Message Board และห้องสนทนาระหว่างพนักงานกับลูกค้า

ประโยชน์ที่ได้รับจากการให้บริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็คือ

ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ด้วยการลดภาระของพนักงานให้บริการลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีต้นทุนที่สูงกว่าหลายเท่าตัว บางเว็บไซต์จะมีบริการให้คำตอบด้วยพนักงานจริงด้วย เช่นเว็บไซต์ที่ให้บริการจดทะเบียนโดเมนเนมอย่าง www.netsol.com เป็นต้น ซึ่งจะคล้ายกับห้องสนทนา (Chat room) ระหว่างลูกค้าที่สอบถามกับผู้ให้บริการ

ความเร็วในการให้บริการที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะลูกค้าที่กำลังใช้บริการบนเว็บไซต์อยู่ แต่การให้บริการที่เร็วขึ้นนี้ก็ขึ้นอยู่กับฐานข้อมูลที่คุณมีอยู่บนเว็บไซต์และกระบวนการเข้าถึงข้อมูลที่ง่าย เว็บไซต์ที่เป็นตัวอย่างที่ดีคงจะหนีไม่พ้นเว็บไซต์ช็อปปิ้งมอลล์ที่ใหญที่สุดอย่าง amazon.com

ไม่เสียโอกาสการขาย ลูกค้าที่กำลังซื้อสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ส่วนใหญ่แล้วต้องการที่จะค้นหาข้อมูลสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตในขณะนั้นเป็นส่วนใหญ่ ถ้าคุณให้ข้อมูลมากเท่าไรก็ตาม คุณจะก็จะปิดการขายได้ง่ายขึ้นมากเท่านั้น

สุดท้าย ความจงรักภักดีต่อสินค้า แน่นอนว่าถ้าลูกค้าได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วจากคุณแล้ว โดยเฉพาะการแก้ปัญหาที่รวดเร็ว ลูกค้าย่อมมีความพึงพอใจและจะยังคงเป็นลูกค้าที่ดีของคุณตลอดไป  

การบริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ เพราะมันสามารถรองรับลูกค้าที่ใช้อินเตอร์เน็ตเท่านั้น  ซึ่งยังเป็นสัดส่วนที่น้อยอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม หากคุณมีเว็บไซต์ที่กำลังให้บริการลูกค้าอยู่ ถึงแม้จะมีเพียงลูกค้าไม่กี่รายก็ตาม คุณก็ควรจะคำนึงถึงการให้บริการลูกค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพด้วย เพราะนั่นคือภาพลักษณ์ของธุรกิจของคุณ

นาวิก นำเสียง

navik@sundae.co.th Sundae Solutions Co., Ltd.